จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2561

เครื่องปั้นดินเผาบ้านกรวด


         
http://www.abcr.bru.ac.th/file/tourism/201706251439_967851.jpg


         สวัสดีครับมาพบกับ รู้เรื่องโบราณคดี ซึ่งในครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้นำความรู้ที่เกี่ยวข้องกับโบราณคดี ช่างน่าเสียดายมากเลยนะครับ โดยในวันนี้ผมจะพาไปรู้จักกับ ผลงานศิลปะที่ถูกสร้างขึ้นมาเมื่อครั้งอดีตหลายปีก่อน ซึ่งนั่นก็คือ เครื่องปั้นดินเผาบ้านกรวด
          เครื่องปั้นดินเผาบ้านกรวด เป็นเครื่องเคลือบดินเผาโบราณที่มีอยู่กระจัดกระจายในพื้นที่ในแถบอีสานตอนใต้ โดยเฉพาะในเขตอำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ที่พบในบริเวณนี้เป็นจำนวนมาก จึงเป็นที่มาของศูนย์แหล่งเรียนรู้ พิพิธภัณฑ์อำเภอบ้านกรวด          
http://www.abcr.bru.ac.th/file/tourism/201706251439_338471.jpg

          ลักษณะพื้นที่ที่พบเครื่องปั้นดินเผาพบหนาแน่นในเขตจังหวัดบุรีรัมย์ และยังพบกระจายตัวในเขตพื้นที่อีสานตอนใต้ ที่มีภูมิประเทศติดอยู่กับประเทศกัมพูชา ทำให้เครื่องปั้นดินเผาเหล่านี้ได้รับอิทธิพลจากศิลปะเขมร หรือศิลปะลวปุระหรือลพบุรี มีลักษณะสำคัญคือ หนาและหนัก เนื้อแกร่ง นิยมตกแต่งด้วยการขูดขีดเป็นลวดลายต่างๆ และปั้นเป็นรูปสัตว์ เช่น นก ช้าง ไก่ เป็นต้น และนิยมเคลือบด้วยสีน้ำตาล
          ผู้เชี่ยวชาญมีการแบ่งประเภทเครื่องปั้นดินเผาในวัฒนธรรมแถบนี้โดยสามารถจำแนกตามลักษณะได้ ดังนี้
1. รูปทรงประเภทโถ แบ่งเป็นโถทรงสูงและโถทรงเตี้ย
2. รูปทรงประเภทตลับ มีฝาปิด เคลือบทรงเตี้ย บางชิ้นจำลองลักษณะเลียนแบบผลไม้

http://www.finearts.go.th/surinmuseum/images/516/ภาชนะดินเผาวัฒนธรรมเขมรพช.สุรินทร์/_16.JPG

3. รูปทรวงประเภทกระปุก เป็นแบบเนื้อแกร่ง เนื้อภาชนะสีขาว ปากผาย บานเตี้ยก้นภาชนะมีรอยขีดขดเป็นวงๆ มีลักษณะเป็นกระปุก คอสั้นและยาว ตรงกลางป่อง เคลือบกุเลนและเคลือบเข้ม
4. รูปทรงประเภทถ้วย ชาม พบมากที่สุด มีเนื้อหยาบและเนื้อแกร่ง มีทำเคลือบสีอ่อนและสีเข้ม ไม่เคลือบก็มี รูปทรงมีหลายประเภท เช่น ถ้วยขนาดเล็ก ชาม ถ้วยรูปทรงต่างๆ

http://www.finearts.go.th/surinmuseum/images/516/ภาชนะดินเผาวัฒนธรรมเขมรพช.สุรินทร์/_18.jpg

5. รูปทรงคณโท ภาชนะทรงสูง คล้ายกระปุกหรือขวด แต่มีพวยกาตรงกลาง

http://www.finearts.go.th/surinmuseum/images/516/ภาชนะดินเผาวัฒนธรรมเขมรพช.สุรินทร์/_21.JPG

เครื่องปั้นดินเผาบ้านกรวดเป็นที่รู้จักกันมานานแล้ว แต่มาตื่นตัวมากขึ้นเมื่อมีการอพยพเข้ามาในพื้นที่
ทำให้ได้พบเห็นเศษภาชนะดินเผาแบบต่างๆ ในปี พ.ศ. 2511 จนในปี พ.ศ. 2530 ได้มีโครงการสำรวจแหล่งโบราณคดี จากฝ่ายวิชาการ กองโบราณคดี ซึ่งอายุของเครื่องปั้นดินเผาเหล่านี้ถูกประมาณอายุว่าผลิตขึ้นในช่วงปลายพุทธศตวรรษที่ 15-18 นับเป็นเครื่องปั้นดินเผาที่มีอายุเก่าแก่ชนิดหนึ่งที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นในฝีมือมนุษย์
          เครื่องปั้นดินเผาเหล่านี้ผลิตขึ้น เพื่อส่งไปขาย หรือใช้ในพิธีกรรมตามศาสนสถานหรือปราสาทหินที่ต่างๆ ทั้งในอีสานตอนใต้ และในประเทศกัมพูชา รวมทั้งในท้องถิ่นอื่นๆภายในประเทศ เป็นสินค้าอุตสาหกรรมที่ยิ่งใหญ่ในระหว่างพุทธศตวรรษที่ ๑๕-๑๙ ทัดเทียมกับเครื่องถ้วยสังคโลกจากเตาเผา ในจังหวัดสุโขทัย
          จากการศึกษาเกี่ยวกับเครื่องปั้นดินเผา แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิต ความเป็นอยู่ของคนในยุคนั้นที่มีการผลิตสิ่งของเครื่องใช้ขึ้นมาเพื่อใช้ในการดำรงชีวิต ทั้งการใช้สอยและการขายออก และยังพบการใกล้ชิดกันทางภูมิประเทศมีส่วนสำคัญในการเผยแพร่อิทธิพลทางวัฒนธรรมต่างๆในพื้นที่ที่ใกล้เคียงกัน
          สำหรับเครื่องปั้นดินเผาบ้านกรวด เป็นงานรู้เรื่องโบราณคดีชิ้นสุดท้าย ผมหวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้แก่ผู้ที่สนใจ และขอขอบคุณผู้ที่สนใจทุกท่าน

อ้างอิง
Buriramguru. (.ป.ป.). แหล่งเตาเผาโบราณ บ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์. สืบค้นเมื่อ 14 มีนาคม 2561
จาก http://www.buriramguru.com/travel/listing/แหล่งเตาเผาโบราณ-บ้านกร
แหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมจังหวัดบุรีรัมย์. (ม.ป.ป.).
พิพิธภัณฑ์อำเภอบ้านกรวด. สืบค้นเมื่อ 14 มีนาคม 2561
PHRA RACHA WANG DERM. (ม.ป.ป.). เครื่องปั้นดินเผาบุรีรัมย์. สืบค้นเมื่อ 14 มีนาคม 2561
          จาก http://www.wangdermpalace.org/Pottery_th.html
สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน. (ม.ป.ป.). เครื่องปั้นดินเผาสมัยลวปุระ (ลพบุรี). สืบค้นเมื่อ 14 มีนาคม 2561

วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2561

เขาหน้าวังหมี


   
     http://sac.or.th/databases/archaeology/sites/default/files/archaeology-site/9_1.JPG

          สวัสดีครับกลับมาพบกับ รู้เรื่องโบราณคดี ในครั้งนี้จะพาไปรู้จักกับแหล่งโบราณคดีแห่งหนึ่งที่หลายคนอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อ เป็นแหล่งโบราณคดีที่มีอายุยาวนาน สมัยก่อนประวัติศาสตร์  ที่แห่งนี้คือ แหล่งโบราณคดีเขาหน้าวังหมี
          แหล่งโบราณคดีเขาหน้าวังหมีตั้งอยู่ในตำบลทับปรือ อำเภอเมือง จังหวัดกระบี่ เป็นแหล่งโบราณคดีก่อนประวัติศาสตร์ มีลักษณะเป็นเพิงผาและกระจายอยู่บนเขาลูกนี้ โดยลักษณะภูมิประเทศของเขาแห่งนี้ เป็นภูเขาหินปูนลูกโดดในแนวเทือกเขาหินปูนในกลุ่มหินราชบุรี ภูเขามีความยาวตลอดแนวเหนือ-ใต้ประมาณ 900 เมตร ภูเขาสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลางประมาณ 40-140 เมตร มีต้นไม้ขึ้นปกคลุมอยู่ทั่วไป พื้นที่โดยรอบเป็นที่ราบที่เกิดจากการทับถมของตะกอนเชิงเขาและตะกอนผุพังอยู่กับที่
          โดยการค้นพบที่มีการบันทึกไว้ ทราบแต่เพียงว่ากรมศิลปากรเริ่มศึกษาที่เขาหน้าวังหมีในครั้งแรกตอนปี พ.ศ. 2549 โดยใช้วิธีการศึกษาด้วยการสำรวจ โดยในครั้งต่อๆมาอีก 3 ครั้ง ใช้วิธีการศึกษาทั้งวิธีการสำรวจและขุดค้น จนถึงครั้งล่าสุดในปี พ.ศ. 2557 ซึ่งกรมศิลปากรมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยทั้งหมด แต่อยู่ในระดับองค์กรร่วม/แหล่งทุน แตกต่างกับครั้งแรกที่เป็นผู้ศึกษาแต่เพียงผู้เดียว จากการศึกษาเกี่ยวกับเขาหน้าวังหมี สามารถประมาณอายุแหล่งโบราณคดียุคประวัติศาสตร์ได้ 4,000-2,000 ปีมาแล้ว และสันนิฐานว่าเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยหรือสุสาน ซึ่งการสันนิฐานเหล่านี้มาจากการสำรวจในแต่ละครั้ง แล้วพบสิ่งที่สำรวจสำคัญๆ ดังนี้


http://sac.or.th/databases/archaeology/sites/default/files/styles/medium/public/archaeology-site/6_0.JPG?itok=mdKdWd-i

1. เศษภาชนะดินเผาเนื้อดิน (Earthenware) มีการตกแต่งด้วยลายเชือกทาบ ขัดมัน ทาน้ำดิน แล้วรวมควันที่ผิวอีกครั้งหนึ่ง

http://sac.or.th/databases/archaeology/sites/default/files/styles/medium/public/archaeology-site/4_0.JPG?itok=DEKiKED-

2. แกนหินและสะเก็ดหินที่เหลือจากการกะเทาะซ่อมเครื่องมือหิน จากการจำแนกชนิดของหินพบว่าไม่ใช่หินที่พบในบริเวณนั้น
3. เครื่องมือทำจากกระดูกสัตว์ เป็นเครื่องมือปลายแหลม โดยการนำกระดูกชิ้นยาวของสัตว์มาขัดฝนให้ปลายด้านหนึ่งแหลมคม
4. ชิ้นส่วนกระดูกสัตว์ พบชิ้นส่วนกระดูกสัตว์ขนาดเล็กค่อนข้างสมบูรณ์ เช่น ลิง ค่าง ตะกวด เต้า ตะพาบ เม่น งู กระรอก เก้ง กวาง นก สัตว์ฟันแทะขนาดเล็ก เป็นต้น
5. เปลือกหอย พบทั้งเปลือกหอยน้ำจืด หอยทะเล และหอยภูเขา

http://sac.or.th/databases/archaeology/sites/default/files/styles/medium/public/archaeology-site/7_5.JPG?itok=mu44sz_N

6. โครงกระดูกมนุษย์ พบ 1 โครง เป็นโครงกระดูกของมนุษย์วัยผู้ใหญ่ สภาพไม่สมบูรณ์ ผุกร่อนและแตกหักมาก พบส่วนกระดูกหน้าแข้งซ้าย ปลายด้านบนของกระดูกหน้าแข้งขวา กระดูกน่องซ้าย-ขวา กระดูกต้นขาขวา กระดูกข้อเท้า กระดูกฝ่าเท้า กระดูกนิ้วเท้า กระดูกแขนท่อนล่างซ้าย-ขวา กระดูกข้อมือและกระดูกมือซ้าย-ขวา และชิ้นส่วนกะโหลก
7. ร่องรอยกองไฟ เป็นต้น

http://sac.or.th/databases/archaeology/sites/default/files/styles/medium/public/archaeology-site/3_3.JPG?itok=7yplqvtk

จากการขุดค้นทางโบราณคดีเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงกิจกรรมการใช้พื้นที่บริเวณนี้เป็นที่พักอาศัยชั่วคราว
เนื่องจากพบหลักฐานจํานวนน้อย อาจเป็นทางผ่าน จุดหยุดพักระหว่างทาง ซ่อมแซม เครื่องมือเครื่องใช้ หรือหุงหาอาหาร เพราะมีพื้นที่ที่สามารถกําบังแดดและลมฝนได้
          สำหรับความรู้เกี่ยวกับ แหล่งโบราณคดี ในครั้งนี้ ผมหวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยสำหรับผู้ที่สนใจ แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้า สำหรับครั้งนี้สวัสดีครับ

อ้างอิง
สำหรับศิลปากร ที่ ๑๕ ภูเก็ต. (ม.ป.ป.). เขาหน้าวังหมี. สืบค้นเมื่อ 13 มีนาคม 2561
ศูนย์มานุษวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). (ม.ป.ป.). เขาหน้าวังหมี. สืบค้นเมื่อ 13 มีนาคม 2561
MRG Online. (2550). พบ! โบราณวัตถุอายุกว่า 3 หมื่นปีที่เขาหน้าวังหมีกระบี่. สืบค้นเมื่อ 13 มีนาคม 2561
จาก http://www.manager.co.th/South/ViewNews.aspx?NewsID=9500000136798

วันเสาร์ที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2561

ภาพสลักหินถ้ำผาลาย


        
ภาพสลักผาหินถ้ำผาลายภูผายนต์
http://kanchanapisek.or.th/kp8/culture/sgk/pic/p5_2.gif
       
        สวัสดีครับวันนี้มาพบกับ รู้เรื่องโบราณคดีอีกแล้ว ในวันนี้จะพาไปรู้จักงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่เราอาจไม่เคยได้ยินมากนัก นั่นคือ ภาพสลักหินถ้ำผาลาย ภาพสลักเป็นภาพที่เกิดจากการแกะสลักลงในเนื้อหินเป็นรูปต่างๆ ซึ่งจากภาพสลักเหล่านี้เองทำให้ถ้ำแห่งนี้ถูกตั้งชื่อว่า ถ้ำหินผาลาย
ถ้ำผาลายอยู่บนหน้าผาด้านทิศตะวันตกของภูผายนต์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาภูพาน จังหวัดสกลนคร มีชัยภูมิแวดล้อมติดอยู่กับภูต่างๆและลำน้ำที่ไหลผ่าน เช่น ภูโล้น ภูบันได อยู่ทางเหนือ ภูหมากแงวตอนเหนืออยู่ทางทิศตะวันออก ทางด้านทิศเหนือมีลำห้วยพุง เป็นต้น ในส่วนของแหล่งภาพสลักหิน พบในส่วนที่เป็นหน้าผาหิน ลักษณะเป็นเพิงผาที่ชาวอีสานเรียกว่า ถ้ำ โดยผู้ค้นพบภาพสลักหินถ้ำผาลายนี้ เล่ากันว่าชาวบ้านรู้จักมาเป็นเวลานานแล้ว จึงได้นำเรื่องราวไปบอกต่อ ศูนย์ศิลปวัฒนธรรม สถาบันราชภัฏสกลนครได้เข้ามาค้นพบตามคำบอกเล่า ในปี พ.ศ. 2530 ซึ่งได้มีการประชาสัมพันธ์เรื่อยต่อมา จนคณะสำรวจโบราณคดีของกรมศิลปากรได้เดินทางไปศึกษารายละเอียดหลายครั้ง เพื่อที่จะได้นำข่าวสารมาเผยแพร่ส่งเสริมต่อไป
จากการค้นพบของคณะต่างๆ พบว่ามีภาพต่างๆแยกประเภทได้ดังนี้
1. ภาพคน มีทั้งหมด 21 ภาพ มีทั้งภาพคนที่เหมือนจริง ที่ไม่มีรายละเอียดของอวัยวะ แบ่งเป็นภาพเด็ก 2 ภาพ และผู้ใหญ่ 7 ภาพ ส่วนภาพกึ่งเหมือนจริง มีรายละเอียดอวัยวะครบ มี 12 ภาพ
ภาพสลักคน
http://www.era.su.ac.th/RockPainting/northeast/tumpalai/images/137s.jpg

2. ภาพมือ มีเพียงภาพเดียว เป็นภาพมือขวาแบ หงายมือแสดงอุ้งมือ มีนิ้ว 6 นิ้ว
ภาพมือ
http://www.era.su.ac.th/RockPainting/northeast/tumpalai/images/141s.jpg

3. ภาพสัตว์ มีทั้งหมด 21 ภาพ ภาพปลา 8 ภาพ ภาพนำ 4 ภาพ ภาพสุนัข 2 ภาพ กระรอกหรือกระแต 1 ภาพ ภาพ ควาย 1 ภาพ วัวหรือควาย 4 ภาพ กบหรือเขียด 1 ภาพ
ภาพสัตว์
http://www.era.su.ac.th/RockPainting/northeast/tumpalai/images/139s.jpg

4. ภาพลวดลายเรขาคณิต เป็นเส้นตรงบ้าง โค้งบ้าง หรือทำเป็นลวดลายต่าง ๆ มีรูปสี่เหลี่ยม สามเหลี่ยม กากบาท หัวลูกศร สามเหลี่ยมขนมเปียกปูน ลายเส้นเดียว ลายเส้นเรียงแถวกัน ลายเส้นตัดกันไปตัดกันมาจนหารูปทรงที่แน่นอนไม่ได้ ซึ่งพบเป็นจำนวนมาก
ภาพลวดลาย
http://www.era.su.ac.th/RockPainting/northeast/tumpalai/images/64ls.jpg

5. ภาพสิ่งของเครื่องใช้ เช่น ภาพที่คล้ายไถ เครื่องมือทำนาแสดงเฉพาะส่วนหัว ที่เรียกว่า "หัวหมู" หรือ "ผาล" อยู่ตอนปลาย นอกจากนี้ยังมีรูปจอบที่ด้ามและรูปพัดสำหรับพัดให้กระแสลมพัดข้าวเมล็ดลีบออก
6. ภาพอาคาร มีลักษณะคล้ายบ้าน 2 ภาพ เป็นทรงบ้านหลังคาสามเหลี่ยมหน้าจั่ว ภาพหนึ่งมีสุนัขอยู่ข้างในบ้าน อีกภาพหนึ่งเป็นบ้านที่มียอดหลังคาไขว้คล้ายเรือกาแลหรือเถียงนาในภาพอีสาน และมีภาพคล้ายคนอยู่ในบ้าน
          จากรูปสลักเหล่านี้มีนักโบราณคดี ของกรมศิลปากร เชื่อว่าอายุศิลปะในถ้ำเหล่านี้มีอายุราว 3,500 ปี โดยเปรียบเทียบกับหลักฐานควายใช้งานที่ขุดพบที่บ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี และร่องหินทรายที่เซาะเป็นทางเกิดจากโลหะปลายแหลมซึ่งหมายถึงเหล็ก นั่นคือสังคมแห่งนี้ได้วิวัฒนาการผ่านยุคเหล็กไปแล้ว ทำให้นักโบราณคดีเชื่อว่า ผู้คนไม่ได้อาศัยอยู่บนภูเขา แต่ผู้คนเริ่มลงมาอาศัยบนพื้นราบทำการเพาะปลูกแล้ว เพราะมีภาพสลักที่เกี่ยวกับ สัตว์ การเลี้ยงสัตว์ โดยที่ขึ้นมาบนเขาเพราะประกอบพิธีกรรม ความเชื่ออะไรบางอย่าง
          อย่างไรก็ตาม ยังมีนักโบราณคดีบางส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับข้อสันนิฐานนี้ โดยเชื่อว่าภาพสลักเหล่านี้มีอายุมากกว่า 3,500 ปี เพราะมีภาพสลักรูปทรงหรือสัญลักษณ์ที่มีลักษณะก่อนประวัติศาสตร์ที่พบในต่างประเทศปรากฏอยู่ นักโบราณคดีกลุ่มนี้เห็นด้วยกับการใช้ภาพสลักมาเปรียบเทียบกับภาพจากต่างประเทศ เนื่องจากภาพในต่างประเทศนั้นมีการกำหนดอายุไว้แน่นอนแล้ว
          จากการสรุปของผมคิดว่า ผู้ที่ทำภาพสลักเหล่านี้บนถ้ำหินผาลายต้องการบรรยายให้เห็นถึงวิถีชีวิตและสิ่งที่ได้พบเห็นมาในชีวิต สังเกตได้จากภาพส่วนใหญ่ที่มีทั้งร่างกายมนุษย์และสัตว์ นอกจากนี้ผู้ที่สลักอาจจะมีความเชื่อหรือความเคารพแก่สิ่งที่สลักลงไป เป็นที่น่าสังเกตว่าทุกรอยสลักบนถ้ำหินผาลายเป็นเพียงการสลักภาพเท่านั้น ไม่พบเห็นงานศิลปะแบบอื่นอย่าง การลงสี แม้นักโบราณคดีจะมีการสันนิฐานเพียงอายุราว 3,500 ปีก็ตาม
         สำหรับวันนี้เรื่องราวของภาพสลักหินถ้ำผาลาย ก็จบเพียงเท่านี้ ผมหวังว่าจะเป็นประโยชน์ให้แก่ผู้ที่สนใจไม่มากก็น้อย แล้วพบกันตอนต่อไป

อ้างอิง
สกลนครไกด์. (ม.ป.ป.) ภาพสลักผาหินถ้ำผาลายภูผายนต์. สืบค้นเมื่อ 10 มีนาคม 2561. จาก http://www.sakonnakhonguide.com/index.php?name=knowledge&file
=readknowledge&id=12#.WqTAdShubIW

ผ.ศ. พัชรี สาริกบุตร. (ม.ป.ป.) ถ้ำผาลาย. สืบค้นเมื่อ 10 มีนาคม 2561.
จาก http://www.era.su.ac.th/RockPainting/northeast/index.html